ReutersReuters

USA:นักลงทุนหุ้นสหรัฐจับตาผลประกอบการ"เอ็นวิเดีย"พุธนี้

นิวยอร์ค--18 พ.ย.--รอยเตอร์

  • นักวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐระบุว่า นักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐกำลังรอดูการรายงานผลประกอบการไตรมาสสามของบริษัทเอ็นวิเดีย ซึ่งเป็นบริษัทผู้นำในธุรกิจปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในวันพุธที่ 20 พ.ย. โดยการรายงานผลประกอบการของเอ็นวิเดียจะถือเป็นการสิ้นสุดฤดูการรายงานผลประกอบการไตรมาสสามของบริษัทสหรัฐ ในขณะที่หุ้นเอ็นวิเดียพุ่งขึ้นมาแล้วเกือบ 200% จากช่วงต้นปีนี้ ซึ่งส่งผลให้เอ็นวิเดียสามารถก้าวขึ้นมาครองตำแหน่งบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกแทนที่บริษัทแอปเปิลได้ในเดือนต.ค.ด้วย โดยการทะยานขึ้นของหุ้นเอ็นวิเดียถือเป็นปัจจัยสำคัญที่มีส่วนช่วยหนุนให้ดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐทะยานขึ้นแตะสถิติสูงสุดใหม่ได้ในปี 2024 ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดว่า รายได้ของเอ็นวิเดียอาจพุ่งขึ้นกว่า 80% สู่ 3.29 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาสสาม ส่วนรายได้สุทธิของเอ็นวิเดียอาจอยู่ที่ 1.84 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาสสาม อย่างไรก็ดี ตัวเลขผลกำไรของเอ็นวิเดียในไตรมาสสองอยู่ในระดับสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์เพียงแค่ 6% เท่านั้น

  • นักลงทุนมุ่งความสนใจไปยังภาคเทคโนโลยีและธุรกิจปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในช่วงนี้ หลังจากการทะยานขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐหลังการเลือกตั้งในวันที่ 5 พ.ย.ชะลอตัวลงในสัปดาห์ที่แล้ว ทั้งนี้ หุ้นเอ็นวิเดียพุ่งขึ้นมาแล้วเกือบ 800% ในช่วงสองปีที่ผ่านมา โดยได้รับแรงหนุนจากการที่เอ็นวิเดียมีสถานะเป็นผู้นำในธุรกิจ AI และปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้เอ็นวิเดียกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าในตลาดมากที่สุดในโลก ทางด้านนายการ์เรทท์ เมลสัน นักยุทธศาสตร์การลงทุนของบริษัทแนติซิส อินเวสท์เมนท์ แมเนเจอร์สกล่าวว่า นักลงทุน "กำลังมองหาทิศทางของตลาดหุ้นสหรัฐในช่วงนี้ ซึ่งถ้าหากเอ็นวิเดียรายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่ง สิ่งนี้ก็จะบ่งชี้ว่ากระแสการลงทุนในช่วงที่ผ่านมายังคงมีแรงหนุนส่งต่อไป และผมคิดว่าปัจจัยดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นความต้องการซื้อสินทรัพย์เสี่ยงในวงกว้างยิ่งขึ้นด้วย"

  • บริษัทในดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐมีแนวโน้มว่าอาจมีผลกำไรในไตรมาสสามปรับขึ้น 8.8% จากไตรมาสเดียวกันในปีที่แล้ว ในขณะที่บริษัท 76% ในดัชนีนี้รายงานผลกำไรไตรมาสสามที่ดีเกินคาด ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ 79% สำหรับช่วง 4 ไตรมาสที่ผ่านมา ทั้งนี้ บริษัทในกลุ่ม Magnificent 7 หรือบริษัทขนาดยักษ์ 7 แห่งของสหรัฐ ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนผลกำไรของบริษัทสหรัฐโดยรวมในช่วงไม่กี่ไตรมาสที่ผ่านมา โดยมีการคาดการณ์กันว่า ผลกำไรของบริษัทในกลุ่ม Magnificent 7 อาจพุ่งขึ้น 30% ในไตรมาสสาม แต่บริษัทที่เหลืออีก 493 แห่งในดัชนี S&P 500 อาจมีผลกำไรปรับขึ้นเพียง 4.3% ในไตรมาสสาม โดยบริษัทในกลุ่ม Magnificent 7 นี้ประกอบด้วย บริษัทแอปเปิล, ไมโครซอฟท์, แอลฟาเบท, อะเมซอนดอทคอม, เอ็นวิเดีย, เมตา แพลตฟอร์มส์ และเทสลา

  • ค่าพีอีเรโชของบริษัทในดัชนี S&P 500 อยู่สูงกว่าระดับ 22 เท่าของคาดการณ์ผลกำไรล่วงหน้า และอยู่ใกล้กับจุดสูงสุดในรอบกว่า 3 ปี โดยเป็นที่คาดกันว่า ผลกำไรของเอ็นวิเดียจะถือเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจช่วยหนุนมูลค่าหุ้นสหรัฐให้อยู่ในระดับสูงต่อไป ทั้งนี้ ดัชนี S&P 500 ทะยานขึ้นมาแล้ว 23% จากช่วงต้นปีนี้ และตลาดหุ้นเพิ่งได้รับแรงหนุนในช่วงที่ผ่านมาจากชัยชนะในการเลือกตั้งของนายโดนัลด์ ทรัมป์ เพราะนักลงทุนคาดการณ์ในทางบวกต่อนโยบายปรับลดภาษีเงินได้และนโยบายปรับลดกฎระเบียบของเขา อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นย่อตัวลงในเวลาต่อมา ในขณะที่นักลงทุนจับตามองว่านายทรัมป์จะเลือกใครให้มาดำรงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีของเขา

  • ตลาดหุ้นสหรัฐได้รับแรงกดดันในช่วงนี้ หลังจากนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เพิ่งกล่าวในวันพฤหัสบดีที่ 14 พ.ย.ว่า เฟดไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรีบร้อนปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง โดยถ้อยแถลงดังกล่าวของเขาส่งผลให้เทรดเดอร์ปรับลดการคาดการณ์เรื่องแนวโน้มในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด ทั้งนี้ นักลงทุนคาดการณ์ในตอนนี้ว่า มีโอกาส 63% ที่เฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ 4.25-4.50% ในการประชุมวันที่ 17-18 ธ.ค. และคาดว่ามีโอกาส 37% ที่เฟดอาจจะตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 4.50-4.75% ตามเดิมในการประชุมวันที่ 17-18 ธ.ค. นอกจากนี้ นักลงทุนยังคาดการณ์กันอีกด้วยว่า เฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงรวมกันเพียง 0.76% นับตั้งแต่ช่วงนี้จนถึงสิ้นปี 2025--จบ--

Eikon source text

(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)

((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;

Log masuk atau cipta satu akaun percuma selamanya untuk membaca berita ini

Lebih berita dari Reuters

Lebih berita