ReutersReuters

CHINA:โพลล์คาดสหรัฐเก็บภาษี 38% จากสินค้าจีนต้นปีหน้า,กระทบจีดีพีจีน

เบงกาลูรู/ปักกิ่ง--21 พ.ย.--รอยเตอร์

  • รอยเตอร์ได้สำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์กว่า 50 รายในวันที่ 13-20 พ.ย. และได้เปิดเผยผลสำรวจออกมาในวันพุธ โดยนักเศรษฐศาสตร์ 75% ในโพลล์คาดว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ จะประกาศมาตรการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนในช่วงต้นปีหน้า โดยค่ากลางในโพลล์คาดว่า มาตรการดังกล่าวจะกำหนดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจีนไว้ที่ 38% ส่วนตัวเลขคาดการณ์ทั้งหมดในโพลล์อยู่ในระดับ 15% ถึง 60% นอกจากนี้ โพลล์ยังระบุอีกด้วยว่า มีนักเศรษฐศาสตร์ 7 รายที่คาดว่า อัตราภาษีนำเข้าจะอยู่ในระดับ 15-30%, นักเศรษฐศาสตร์ 9 รายที่คาดว่า อัตราภาษีจะอยู่ที่ 31-45% และมีนักเศรษฐศาสตร์ 4 รายที่คาดว่า อัตราภาษีจะอยู่ที่ 46-60%

  • นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ไม่คาดว่า สหรัฐจะประกาศเก็บภาษีนำเข้าถ้วนหน้าในอัตรา 60% จากสินค้าจีนในช่วงต้นปี 2025 เพราะว่าการทำแบบนั้นจะเป็นการกระตุ้นภาวะเงินเฟ้อภายในสหรัฐ ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้นายทรัมป์เคยประกาศใช้อัตราภาษีนำเข้ากับสินค้าจีนที่ระดับ 7.5%-25% มาแล้วในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐสมัยแรก และเป็นที่คาดกันว่ามาตรการเก็บภาษีนำเข้าครั้งใหม่ของเขาอาจจะสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจจีน ในขณะที่เศรษฐกิจจีนมีสถานะเปราะบางกว่าเดิมเป็นอย่างมากในตอนนี้ โดยเป็นผลจากภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ตกต่ำลงเป็นเวลานาน, ความเสี่ยงด้านหนี้สิน และอุปสงค์ภายในประเทศจีนที่อ่อนแอ

  • โพลล์รอยเตอร์คาดว่า มาตรการเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐจะส่งผลลบราว 0.5-1.0% ต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในปี 2025 และโพลล์ยังคาดการณ์อีกด้วยว่า เศรษฐกิจจีนอาจจะเติบโต 4.8% ในปีนี้, 4.5% ในปี 2025 และ 4.2% ในปี 2026 ทั้งนี้ โพลล์คาดว่า อัตราเงินเฟ้อของราคาผู้บริโภคจีนอาจจะอยู่ที่ 1.1% ในปี 2025 โดยปรับลดลงจากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ 1.4% ที่เคยคาดไว้ในโพลล์เดือนต.ค. และโพลล์คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 1.4% ในปี 2026 โดยปรับลดลงจากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ 1.6% นอกจากนี้ โพลล์ยังคาดการณ์อีกด้วยว่า ธนาคารกลางจีน (PBOC) อาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หรืออัตราดอกเบี้ย reverse repo (ธุรกรรมการซื้อหลักทรัพย์โดยมีสัญญาจะขายคืน) ระยะ 7 วันลง 0.20% สู่ 1.30% ภายในช่วงต้นปีหน้า และอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงไปอีก 0.10% ในช่วงครึ่งหลังของปี 2025

  • นายเรย์มอนด์ หยาง หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของธนาคาร ANZ ระบุว่า "เราคาดว่ารัฐบาลใหม่ของสหรัฐจะนำแผนการดั้งเดิมในยุคของปธน.ทรัมป์สมัยแรกกลับมาใช้อีกครั้ง" และเขาคาดว่าสหรัฐจะปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจีนสู่ระดับเฉลี่ย 32–37% ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์หลายรายกำลังรอดูนโยบายด้านการค้าจีนของรัฐบาลสหรัฐชุดใหม่ เพราะว่านโยบายดังกล่าวอาจจะส่งผลให้นักเศรษฐศาสตร์ปรับลดตัวเลขคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจจีน โดยโม จิ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จีนของธนาคารดีบีเอสกล่าวว่า "การส่งออกจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยค้ำยันการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน ในขณะที่อุปสงค์ในตลาดโลกรักษาระดับเอาไว้ได้ อย่างไรก็ดี มาตรการเก็บภาษีนำเข้าชุดใหม่ของสหรัฐอาจจะส่งผลลบราว 1% ต่ออัตราการเติบโตของจีดีพีจีน" และเธอกล่าวเสริมว่า "การบริโภคในจีนจะยังคงขาดความแข็งแกร่ง โดยเป็นผลจากการดิ่งลงของราคาอสังหาริมทรัพย์ และการพุ่งขึ้นของอัตราการว่างงาน เพราะสองปัจจัยนี้จะส่งผลลบต่อความมั่งคั่งของครัวเรือนจีน ทางด้านการลงทุนในภาคโครงสร้างพื้นฐานจะช่วยกระตุ้นให้การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรฟื้นตัวขึ้นปานกลาง แต่การลงทุนในภาคเอกชนจะปรับตัวอย่างอ่อนแอ"

  • นักเศรษฐศาสตร์ 19 จาก 23 ราย หรือ 83% ของโพลล์ระบุว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทางการเงินและทางการคลังที่รัฐบาลจีนประกาศออกมาในช่วงนี้ แทบไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีน และจีนจำเป็นจะต้องประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมออกมาอีก ส่วนนักเศรษฐศาสตร์อีก 4 รายที่เหลือระบุว่า มาตรการที่ประกาศออกมาแล้วจะช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ระบุว่า จีนมีแนวโน้มที่จะประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า เพื่อช่วยลดทอนความเสียหายที่เศรษฐกิจจีนได้รับจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ โดยเจียน ชาง หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จีนของธนาคารบาร์เคลย์สกล่าวว่า "เราคาดว่ารัฐบาลจีนจะยังคงมีเวลาในการสอดส่องและแสดงปฏิกิริยาต่อนโยบายของสหรัฐ และต่อผลกระทบที่จะมีต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน และหลังจากนั้นรัฐบาลจีนก็จะประกาศนโยบายตอบโต้สหรัฐในขั้นตอนต่อมา"--จบ--

Eikon source text

(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปลและเรียบเรียง)

((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 08-7689-6043;

Log masuk atau cipta satu akaun percuma selamanya untuk membaca berita ini

Lebih berita dari Reuters

Lebih berita